
เช้าวันที่ 6 กรกฎาคม 2017 เริ่มออกปั่นจากบ้านย่านสุคนธสวัสดิ์ ราวๆ เจ็ดนาฬิกาเศษ ปลายทางคือหัวลำโพง นานๆ ป๋าจะปั่นเข้าไปในเมืองที่มีรถลาพลุกพล่านมากถึงมากที่สุดเต็มพื้นที่ของการจราจร เราใช้เส้นทางหลัก ถนนเกษตรนวมินทร์ เข้าถนนวิภาวดีรังสิต แล้วขึ้นสะพานตรงห้าแยกลาดพร้าวเพื่อใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน คิดว่ารถไม่น่าจะมาก แต่ผิดคาดบนท้องถนนมีแต่รถ ต้องคอยปั่นลัดเลาะช่องว่างระหว่างรถที่จอดนิ่งสนิทมาเรื่อยๆ จนถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วต้องเลี้ยวหนีออกที่แยกศรีอยุธยามาใช้เส้นทางเลียบทางรถไฟตรงไปทางโบ๊เบ๊ จนมาถึงหัวลำโพงเวลา 9:13 นาที ป๋าก็ตรงดิ่งไปจัดการเรื่องตั๋วสำหรับเราสองคนก่อน แล้วค่อยไปจัดการตั๋วให้จักรยาน
ตอนซื้อตั๋วคนก็งงๆ กับคนขายตั๋ว ท่าทางแกจะมึนๆ จนเราต้องบอกว่าไปขบวนไหนก็ได้ขอลงปัตตานี เพราะก่อนหน้าถึงคิวเราไม่ยอมทอนเงินค่าโดยสารให้เขา ขี้เกียจจะโวยเพราะคนก่อนหน้านี้วีนอย่างแรง
ได้ตั๋วได้เงินทอนเรียบร้อย ตระเวนหามุมถ่ายรูปเล็กน้อย มีน้องช่างภาพสมัครเล่นมาขอเก็บรูปให้เราก็ยินดี ส่วนน้องจะเอารูปไปทำอะไรก็ตามสบายป๋าบอก
เข็นรถจักรยานไปสอบถามเจ้าหน้าที่รับฝากสัมภาระที่หน้าชานชลาที่ 10 เจ้าหน้าที่บอกให้มาอีกทีตอนเที่ยง เก็บภาพสิครับจะรออะไรกัน มีน้องช่างภาพอยู่ด้วย เผลอปล่อยฟาอิซไม่ได้เลย เร็วและคล่องแคล่วมาก พร้อมเสมอในการออกวิ่ง ต้องคอยระวังตลอดเวลา
เราก็เลยมีเวลาออกไปเที่ยวข้างนอก กับรอบๆ สถานีหัวลำโพงกัน
เดินวนเที่ยวกันทั้งนอและในสถานีจนจวนเวลารถไฟใกล้ออก ก็ได้เอาจักรยานขึ้นตู้สัมภาระ ตู้สัมภาระอยู่ห่างจากตู้ที่เรานั่ง 12 ตู้ ป๋าเลยต้องจัดการแยกกระเป๋าออกจากจักรยานก่อน ขึ้นกระเป๋าที่ทั้งหมดที่ตู้โดยสารก่อน แล้วค่อยเอาจักรยานไปขึ้นตู้ฝากสัมภาระ ค่าธรรมเนียมจักรยาน 106 บาท ค่ายกขึ้นลงเพื่อความสะดวกของเรา 20 บาท รวมแล้ว 126 บาท
13:45 นาที ขบวนรถที่เรานั่งเริ่มวิ่งออกจากสถานีหัวลำโพง นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนเดินทางไกลด้วยรถไฟ เราได้ที่นั่งชั้นสองพัดลม เพราะเราไม่ได้จองล่วงหน้าไว้ ตู้นอนแอร์เต็ม เสียงมันคงจะดังน่าดูเลยละ ชั้นสองพัดลมมันต่างจากชั้นสามก็ตรงที่เบาะนั่งสามารถปรับเอนได้ แล้วมีพัดลม คิดว่าฟาอิซน่าจะต้องเรียรู้เรื่องความลำบากได้
รถไฟเคลื่อนขบวนออก ฟาอิซนั่งมองอะไรเพลินๆ ทางหน้าต่าง จากวิวในกรุงจนเปลี่ยนเป็นวิวท้องนาที่มีทั้งนก วัว ฟาอิซไม่มีท่าทีว่าจะไม่ชอบนั่งรถไฟ กลับกลายเป็นว่ามีอะไรน่าตื่นเต้นให้ดูและค้นหา มีบ้างที่ตกใจกับเสียงดังเวลารถไฟวิ่งข้ามสะพาน
ถึงเวลานอนก็หลับยาวจนถึงเวลาเช้า 5:00 นาฬิกา รถไฟวิ่งมาถึงพัทลุงแล้ว อีกสามชั่วโมงก็จะถึงปัตตานี
เช้าวันที่ 7 กรกฎาคม เวลา 8:20 นาฬิกา รถไฟมาถึงปลายทางที่เราจะลงคือสถานีปัตตานี (โคกโพธิ์) ด้วยความสังหรณ์ใจว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับเราในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราลงจากรถแล้วไม่กล้ายืนรออยู่กับที่ เดินจากตู้ขบวนหมายเลข 12 ไปยังตู้สัมภาระซึ่งอยู่หัวขบวน ระหว่างเดินมือหนึ่งก็ถือกระเป๋าสัมภาระ 2 ใบกับสะพายข้างอีกสองใบ และอีกมือจูงฟาอิซให้เดินเร็ว สายตาเราก็คอยมองว่าเจ้าหน้ายกจักรยานลงมาให้แล้วยัง ไม่เห็นมีจักรยานเราเลย เสียงประกาศตามสาย ว่ารถจะออกจากสถานี และจอดสถานีต่อไปคือนาประดู่ เราเดินมาถึงตู้สัมภาระพร้อมตะโกนบอกเจ้าหน้าที่เสียงดังๆ ว่า “จักรยานผมอยู่ไหน ไม่เห็นยกลงมาให้เลย” เจ้าหน้าที่ตู้สัมภาระรีบวิทยุบอกไปยังหัวรถจักร และนายสถานี ยังไม่ให้ออกรถเพื่อรอยกจักรยานลงก่อน เราก็บ่นเสียงดังว่า ทำไมไม่ยกรถให้ผม ดีนะที่ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดปัญหาขึ้น ผมจ่ายค่ายกให้ตั้งแต่ต้นทาง เจ้าหน้าที่ก็รีบอธิบายถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ได้จักรยานแล้วเราก็เลยหยุดบ่น ไม่อยากต่อความยาวสาวความให้ยืด
ออกจากสถานีเราก็แวะร้านสะดวกซื้อ เตรียมเสบียงเล็กน้อย เผื่อแวะพักหลบแดดระหว่างทาง แปรงฟันกันที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ปั่นออกมาได้ไม่ไกลจากสถานีเจอร้านขายอาหารบ้านๆ แวะทานมื้อเช้าเลยดีกว่าไม่หวังน้ำบ่อหน้า ถามแม่ค้าว่าขอใช้ก็อกน้ำเพื่ออาบน้ำให้ฟาอิซก่อนได้ไหม แม่ค้าอนุญาต ป๋าเลยจัดการอาบน้ำอาบท่าให้ฟาอิซแบบ outdoor ไปเลย กลายเป็นความสนุกอีกแบบระหว่างเดินทาง
อิ่มท้องสบายตัวเราก็ออกปั่นไปเรื่อยๆ ตามประสาพ่อลูกอ่อน อยากจอด อยากแวะเล่น ชมนกชมไม้ ผ่านค่ายอิงคยุทธบริหาร เลี้ยวแวะเข้าไปเยี่ยมทักทายพ่อกับแม่ของเพื่อนคนสนิทก่อน ออกปั่นอีกรอบช่วงเที่ยงพอดีเราแวะหานม และกาแฟดื่มที่ปั๊ม ปตท. และหาอะไรรองท้องก่อนปั่นเข้าเมืองปัตตานี ระยะทางอีกไม่ไกลเหลืออีกราวๆ 15 กิโลเมตร ระหว่างนั่งเล่นก็มีพี่ทหารคนหนึ่งเดินวิ่งมายื่นเงินให้ฟาอิซ 100 บาท พร้อมบอกฟาอิซว่าเอาไว้ซื้อขนมกินระหว่างทาง ขอบคุณในน้ำใจของพี่ทหาร (เก็บภาพไม่ทัน)
ออกปั่นอีกครั้ง ในระหว่างทางที่ปั่นอยู่แม่ค้าขายนมเร่ผ่านเราไปและส่งยิ้มมาให้เราก็รับยิ้ม เลยผ่านไปไกลพอสมควร เห็นแม่ค้าจอดรถเข้าข้างทางพร้อมโบกกวักมือเรียกให้เราจอด และยื่นนม ขวดใหญ่สำหรับป๋า ขวดเล็กสำหรับฟาอิซ ขอบคุณแม่ค้าใจดีสำหรับน้ำใจที่มีให้กับเราสองคน
ระหว่างทางเข้าเมืองเหลือระยะทางอีก 6 กิโลเมตร ต้องจอดเก็บรองเท้า 4 ครั้ง และเก็บขวดนมอีก 1 ครั้ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกำหนดเวลาว่าจะถึงในเมืองกี่โมง ก่อนเข้าตัวเมืองก็มีสัตว์ในตำนานเมืองปัตตานีมารอต้อนรับ ฟาอิซถูกใจกับเสียงร้องเรียกของมันมาก หัวเราะ ดีใจ พร้อมทำหน้าฉงนมันคือตัวอะไรหว่า
มื้อโปรดของป๋าเวลากลับมาถึงปัตตานีคือ ซุปพุงวัว (เครื่องในวัว) ที่ร้านของน้องสาวคนที่ห้า (ที่สืบต่อกิจการจากคุย่าของฟาอิซ) เมนูนี้นี่แหละที่เลี้ยงป๋าจนโต
นั่งเล่นอยู่ที่ร้านจนบ่ายสองถึงจะปั่นกลับบ้านที่อาเนาะซูงา
กลับมาถึงบ้าน ป๋าดีใจสุดๆ 2 สุด สุดที่หนึ่งได้กอดและหอมแก้มคนที่ป๋ารักและให้กำเนิดเลี้ยงดูป๋ามา สุดที่สอง พี่น้องของป๋ากลับมาที่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากันโดยไม่ได้นัดหมายในรอบเกือบ 20 ปี (ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่จะขาดหนึ่งถึงสองคน)
เช้าวันที่สาม 8 กรกฎาคม เราสองคนไม่มีกิจกรรมเดินทางไกลด้วยจักรยาน จึงออกปั่นเล่นๆ รอบเมือง แวะมัสยิดกลางเก็บภาพฟาอิซไว้ เพราะที่นี่คือแลนด์มาร์คของจังหวัด และเป็นที่รวมตัวของชาวมุสลิมในการทำละหมาด
ช่วงบ่ายเราต้องไปรับบังซาฟิรกับม่ามี้ที่สนามบินหาดใหญ่ ม่ามี้ต้องมาประชุมที่หาดใหญ่ แลบังซาฟิรเองก็เลยต้องหยุดเรียนหนังสือสองวัน บังซาฟิรไม่ได้มาหาซีตี (ย่า) นานแล้ว
เช้าวันที่ 9 กรกฎาคม เราไม่มีแพลนที่จะออกไปเที่ยวไหนกัน ช่วงเช้าป๋าเลยมีโอกาสพาบังซาฟิรไปเดินตลาดสดเป็นเพื่อนซีตี บังซาฟิรได้มีโอกาสเห็นกังหันชัยพัฒนาที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ป๋าได้ให้คำอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของผู้ที่คิดค้นก็คือในหลวงรัชกาลที่ ๙ และการทำงานของโซล่าเซลล์
เราเข้าไปในตลาดสด ดูปลานานาชนิดที่มาจากทะเล มีทั้งปลาใหญ่ปลาน้อย ปลาที่บังซาฟิรสนใจเป็นพิเศษคือปลาฉลาม (ตัวที่สนใจที่สุดคือปลาฉลามตัวเล็ก หรือลูกปลาฉลามนั่นเอง)
กลับมาจากตลาดป๋าก็พาฟาอิซกับบังซาฟิรออกไปปั่นจักรยานเล่น แวะเก็บรูปทั้งสองคนที่มัสยิดกลาง
ช่วงเย็นๆ พวกเราก็พากันไปเที่ยวทะเลกับพี่ๆ น้องๆ ที่ปัตตานีมีชายหาดที่น่าเที่ยวหลายหาด หาดที่เราจะไปกันชื่อหาดตะโล๊ะสะมีแล ถึงชายหาดต่างคนต่างวิ่งแข่งกันลงเล่นน้ำไม่มีใครยอมใคร จำกัดเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน
เช้าวันที่ 10 กรกฏาคม แรกๆ ตั้งใจว่าจะพากันไปเล่นน้ำตกทรายขาว แต่ก็ต้องยกเลิกด้วยเหตุเพราะสมาชิกที่ไปทะเลเมื่อวานติดต้องไปเรียนหนังสือกันส่วนใหญ่ จะไปกันตามลำพังกลัวจะไม่สนุก ช่วงเย็นเราก็ได้แค่ออกไปเล่น playground ที่สวนสมเด็จฯ วันนี้ไม่ได้เก็บภาพให้ และไม่ได้ปั่นจักรยานไปไหนกันเลย
เช้าวันที่ 11 กรกฎาคม ม่ามี้ต้องเดินทางออกจากปัตตานีเพื่อไปประชุมที่หาดใหญ่ เราสามคนก็ออกปั่นเที่ยวชมเมืองกัน แวะทานมื้อเช้ากับบังปาริ แวอีซอ (ปั่นผ่านไปรษณีย์ บังซาฟิรตะโกนเรียก และชวนกันไปกินโรตีแกง)
ช่วงสายๆ เราก็ออกไปเยี่ยมร้านตัวแทนจำหน่ายจักรยาน ฤ ปัตตานี บังเอิญได้เจอครูมะที่ป้าน้องกับลุงก๊วกเลลาให้ฟัง คุยกับครูมะ เดิมครูมะอยู่หมู่บ้านเดียวกับป๋า เป็นมัคคุเทศน์สามจังหวัดภาคใต้ ถามกันไปกันมาถึงได้รู้ว่าเป็นเพื่อนกับซีตี (ย่า) ของบังซาฟิรและฟาอิซ ที่แท้คนใกล้ตัวเรานี่เอง
ออกจากร้าน ฤ เราก็แวะเอาข้าวกล่องที่ร้านแวนะห์ (น้องสาวป๋า) เราจะกินมื้อเที่ยงที่สนามเด็กเล่นริมแม่น้ำปัตตานีกัน กินไปด้วยเล่นไปด้วยได้สักพัก ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักเราต้องรีบหลบฝนที่ชายคามัสยิดกัน ท่าทางจะตกอีกนานป๋าตัดสินใจพาพวกลูกๆ กลับท่ามกลางสายฝน เพราะบ้านเราอยู่ไม่ไกลมากนัก ถึงบ้านเราก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
วันที่ 12 กรกฎาคม บังซาฟิรต้องกลับกรุงเทพวันนี้ช่วงบ่ายจะต้องไปส่งบังซาฟิรที่สนามบินหาดใหญ่ เช้าเราก็เลยออกปั่นเที่ยว เริ่มจากแวะจุดแรกศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวใกล้บ้าน แวะไปเต้นแอโรบิคหน้าศาลากลาง ก่อนจะไปปั่นในเลนจักรยานสวนสมเด็จฯ ตั้งใจจะแวะเล่น playground กัน ดันมีน้ำขังบนพื้นทุกจุดของ playground ที่มีในสวนสมเด็จฯ เลยได้ปั่นแค่รอบๆ สุดท้ายบังอยากดูกังหันลมยักษ์ใกล้ๆ ที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
กลับมากินมื้อเช้า อาบน้ำอาบท่ารอเวลาจน 11:30 น. ป๋าขับรถไปส่งบังซาฟิรที่สนามบินหาดใหญ่ บังซาฟิรกับม่ามี้ขึ้นเครื่องตอนบ่ายสองโมงนิดๆ ขากลับแวะซื้อนมให้ฟาอิซที่ศูนย์ขายส่งนมวัวแดง แล้วแวะกินมื้อค่ำที่ร้านขายซุปพุงวัวที่อำเภอนาทวี กลับถึงปัตตานีช่วงค่ำๆ ฝนตกตลอดทางเลย
วันที่ 13 กรกฎาคม เช้าเราออกปั่นไปเจอกลุ่มปั่นยามเช้า ไม่รู้เขาปั่นไปไหนกัน ออกปั่นตามเขาไปโผล่ถนนสาย 418 เราปั่นเรื่อยๆ เขาทิ้งระยะห่างจากเรามาก ขาแรงจริงๆ ทีมนี้ เราเลยต้องแยกออกจากกลุ่มปั่นไปเรื่อยเปื่อยตามประสาของเรา
วันที่ 14 กรกฎาคม วันนี้ตั้งใจว่าจะหยุดปั่น แต่ฟาอิซก็ชวนออกนอกบ้าน ขอไปเล่น playground ออกไปยังไม่ทันถึงสวนสมเด็จฯ ก็หลับ ป๋าเลยพาวนไปหาดรูสะมิแล ตลอดทางมีเสียงอุทานของผู้พบเห็น ว่าเราเป็นสิ่งแปลกปลอม “ตายแล้วพาลูกมาด้วย (หลับด้วย), ดูนั่นสิมีเด็กอยู่ข้างหน้านี่หน่า, อุ๊ยนึกว่าตุ๊กตา เหมือนเลยอ่ะ, บลาๆ” ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นภาษายาวี
วันที่ 15 กรกฎาคม เรามีแผนออกปั่นไปเที่ยวยะลา
วันที่ 16 กรกฎาคม เรามีแผนปั่นไปน้ำตกอรัญวาริน
หลังจากนี้ไปป๋าก็จะแยกเขียนเป็นเรื่องๆ ก่อนกลับบ้านเราที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้เราลงมาสำรวจสถานที่ทำร้านอาหาร และทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมการกิน การอยู่ และการใช้ชีวิตที่นี่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น